Skip to main content

อาการ "ผิวแห้ง" ปัญหาผิวที่ต้องดูแลอย่างเร่งด่วน ควรทำอย่างไร?

อาการ "ผิวแห้ง" ปัญหาผิวที่ต้องดูแลอย่างเร่งด่วน ควรทำอย่างไร?

1.jpg

ผิวแห้ง

หากพูดถึงปัญหาผิวที่หลาย ๆ คนพบเจอ ก็คงหนีไม่พ้นอาการผิวแห้งเป็นขุย ผิวแตก หรือผิวลอก ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวตามมาได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการผิวไม่เรียบเนียน สีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวดูไม่เปล่งปลั่ง จนไปถึงอาการผิวระคายเคืองแพ้ง่าย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับผิวแห้ง สาเหตุ และวิธีดูแลและป้องกันอย่างถูกต้องกัน

ผิวแห้ง คือ

“ผิวแห้ง” (Dry skin) คือ สภาพผิวที่ขาดความมัน ซึ่งเป็นสภาวะที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวได้น้อยกว่าปกติ จึงทำให้ผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ สังเกตได้จากความรู้สึกผิวหน้าแห้งตึงหลังล้างหน้า ผิวมีความแห้งกร้าน ผิวแห้งเป็นขุย หรือลอกเป็นแผ่นออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งในบางคนเมื่อมีผิวลอกเป็นขุยมาก ๆ จนชั้นปกป้องผิวอ่อนแอเกิดการอักเสบ ระคายเคือง ก็อาจส่งผลให้เกิดโรคผิวแห้งคันหรืออาการผิวแพ้ง่ายตามมาได้เช่นกัน ดังนั้นการดูแลผิวแห้งด้วยการทามอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงผิว เป็นประจำทั้งผิวหน้าและผิวกายจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ

สาเหตุของผิวแห้ง

อาการผิวแห้ง อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งสามารถแบ่งสาเหตุออกได้เป็น 2 แบบ คือ

สาเหตุและปัจจัยภายในของอาการผิวแห้ง

  1. โรคผิวหนังที่เกิดจากพันธุกรรม ที่ส่งผลให้เกิดอาการผิวแห้ง เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง และสะเก็ดเงิน
  2. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ที่เกิดขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่ง เช่น การตั้งครรภ์ หรือ ภาวะหมดประจำเดือน
  3. อายุที่มากขึ้น ส่งผลร่างกายจะผลิตไขมันในผิวลดลง ทำให้ชั้นปกป้องผิวอ่อนแอและสูญเสียน้ำออกจากผิวมากขึ้น
  4. ชั้นผิวที่อ่อนแอ ส่งผลให้การส่งผ่านน้ำจากเซลล์สู่เซลล์ลดลง จนผิวขาดความชุ่มชื้นและอาจลอกเป็นขุยได้
  5. พักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้ผิวแห้ง ผิวไม่สดใส แต่งหน้าไม่ติดทน ไม่สดชื่น และยังดูโทรมอีกด้วย
  6. รับประทานอาหาร ที่ไม่มีประโยชน์ต่อผิว หรือ มีสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ผิวขาดวิตามินและผิวแห้งมากขึ้นได้ หรือ การทานอาหารรสชาติเค็มจัด เนื่องจากโซเดียมจากอาหารที่เค็มจัดจะดูดซึมน้ำออกจากร่างกายจะทำให้เกิดอาการบวมน้ำ และทำให้ผิวแห้งเหี่ยวได้

สาเหตุและปัจจัยภายในของอาการผิวแห้ง

  1. การทำความสะอาดผิวบ่อย ๆ เช่น การล้างหน้าหรือการสครับผิว มีโอกาสชำระล้างไขมันที่จำเป็นในผิว ทำให้ผิวอ่อนแอและสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายขึ้น
  2. ล้างหน้า หรือ อาบน้ำอุ่นจัดจนเกินไป อาจทำให้ผิวหนังเราอาจแห้งเสีย เกิดผิวลอก แห้งคันโดยไม่รู้ตัว
  3. การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวหรือหน้าร้อน สภาพอากาศจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย และทำให้ผิวแห้งมากขึ้นด้วย
  4. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้ อาจไม่มีประสิทธิภาพมากพอ หรือ ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายชนิดพร้อม ๆ กัน เนื่องจากผิวหนังของเราสามารถดูดซึมได้อย่างจำกัด การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวผิดประเภทหรือใช้หลายชนิดจนเกินไป อาจไม่ทำให้เกิดผลลัพธ์ผิวที่ดี แถมยังรู้สึกเหนอะหนะ ไม่สบายผิวด้วย
  5. การใช้ยารักษา หรือ สารเคมีบางชนิด เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ
  6. ไลฟ์สไตล์ที่ทำร้ายผิวโดยไม่ตั้งใจ เช่น เจอแดดแรงเป็นประจำ ใส่แมสก์เป็นประจำ หรือแม้แต่ความสะอาดของสิ่งที่สัมผัสใบหน้า ก็อาจทำให้ผิวขาดสมดุลและเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย จนเกิดปัญหาผิวแห้งได้ในที่สุด

ประเภทของผิวแห้ง

1. ผิวหนังแห้งจากการระคายเคือง

มักเกิดในกรณีที่ผิวหนังไปสัมผัสกับสารเคมีบางอย่างจนทำให้เกิดความระคายเคือง เป็นขุย หรือแห้งลอกออกมา เช่น สารฟอกขาว, นิกเกิล

2. ผิวหนังแห้งจากต่อมไขมันในร่างกายผลิตน้ำมันออกมาน้อยเกินไป

ทำให้ความชุ่มชื้นที่อยู่บนผิวไม่เพียงพอ สังเกตได้จากอาการผิวมีผื่นแดง สะเก็ดขุย ๆ มักเกิดได้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดยเฉพาะใบหน้าและบริเวณหนังศีรษะ

ผิวแห้งสามารถแบ่งระดับปัญหาผิวแห้งออกได้ 3 ระดับ ตามความรุนแรงคือ

  1. ผิวแห้งเล็กน้อย ซึ่งจะมีความรู้สึกไม่สบายผิว และผิวไม่เรียบเนียน อาจมีอาการคันเล็กๆ ร่วมด้วย
  2. ผิวแห้งปานกลาง เกิดอาการคัน หรือเป็นขุยมากขึ้น ผิวแดง และมีผื่นขึ้นเป็นหย่อมๆ เมื่อลูบไปตามผิวหนังอาจรู้สึกสากผิว
  3. ผิวแห้งมาก มีผิวลอก เป็นขุย มีอาการตึงๆ ที่ผิวหนัง ผิวหนังแห้งแตกลายอย่างเห็นได้ชัด หรือขึ้นเป็นเกล็ดๆ ไวต่อการระคายเคือง มีอาการคันอย่างต่อเนื่อง อาจมีผื่นขึ้นเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะตำแหน่งที่เกิดการเสียดสีมาก ๆ

วิธีดูแลผิวแห้ง

1. บำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ

ด้วยการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างครีมทาผิวที่สามารถทาได้ทั้งผิวหน้า และผิวกาย อย่าง จอห์นสัน มิลค์ + ไรซ์ เบบี้ ครีม มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ผสานคุณค่าน้ำนมธรรมชาติและสารสกัดจากข้าว สามารถปกป้องผิวจาก 5 สัญญาณของผิวในช่วงฤดูหนาว เช่น ผิวมีรอยแดง, ผิวแห้ง, ผิวลอก, ระคายเคืองผิว และแสบผิวที่อ่อนโยนต่อผิว ทั้งยังสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว และฟื้นบำรุงผิวที่แห้งแตกจากการสูญเสียน้ำ ให้ผิวกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

2. ดูแลเรื่องอาหาร

เน้นทานอาหารที่มีโอเมกา-3 และคอลลาเจน เพื่อเพิ่มปริมาณชั้นน้ำมันในผิวให้หล่อเลี่ยงได้อย่างเพียงพอ จะช่วยให้ผิวหนังเกิดความชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ดูอิ่มน้ำมากขึ้น

3. พักผ่อนให้เพียงพอ และเติมน้ำให้ผิว

ด้วยสูตร 6-8 คือ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเป็นเวลาอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน จะทำให้ผิวหนังอวบอิ่ม แถมยังได้สุขภาพที่ดีอีกด้วย

4. ดื่มน้ำวันละ 1 - 2.5 ลิตร/วัน

เพราะร่างกายของเราประกอบไปด้วยน้ำถึง 60% เราจึงต้องการน้ำในปริมาณที่เหมาะสมในทุก ๆ วัน เพื่อช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย อีกทั้งการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวันยังช่วยให้ผิวดูนุ่มชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง ช่วยให้ผิวแลดูสุขภาพ หากดื่มน้ำน้อยเกินไปอาจส่งผลให้ผิวแห้งกร้านกว่าปกติได้ เพราะการขาดน้ำอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ปากแห้ง ผิวหมอง

5. ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง

เมื่อพบว่ามีอาการผิวแห้งผิดปกติจนเกิดอาการแสบคัน ผิวแตก ลอกเป็นขุย หรือมีการอักเสบของผิวเกิดขึ้น เนื่องจากอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาเพื่อลดการอักเสบของผิวหนังตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

วิธีป้องกันผิวแห้ง

วิธีง่ายสุดของการป้องกันอาการผิวแห้งหรือลอกเป็นขุย คือ การเสริมสร้างผิวให้แข็งแรง โดยลดการสูญเสียน้ำออกจากผิวและใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถคงความชุ่มชื้นผิวได้ยาวนาน อย่างเบบี้ออยล์ หรือครีมทาผิวแห้งสำหรับผิวกาย และผิวหน้าที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ซึ่งจะช่วยไม่ให้ผิวแห้งกร้านหรือลอกเป็ยขุยได้

ผิวแห้ง คือ ปัญหาผิวที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดอาการดังกล่าวและยังเป็นการบำรุงไปในตัวด้วย ทำให้เรากลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง ทั้งยังลดปัญหาผิวที่จพตามมาพร้อมกับผิวที่ปห้งมาก ๆ ได้อีกด้วย